รูปที่ 1.2 ห่วงโซ่อาหาร
พลังงานทั้งหลายในระบบนิเวศนี้เกิดจากแสงอาทิตย์ พลังงานแสงถูกถ่ายทอดโดยเปลี่ยนรูปเป็นพลังงานศักย์ สะสมไว้ในสารอาหาร ซึ่งเกิดจากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสง แล้วถูกถ่ายทอดไปสู่ผู้บริโภคลำดับต่างๆ ในระบบนิเวศ ซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อนในรูปแบบที่เรียกว่า สายใยอาหาร(food web)
รูปที่ 1.3 สายใยอาหาร
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิต
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะคือ 1. ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวกัน 2. ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตต่างชนิดกัน เพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ จึงมีการใช้เครื่องหมายต่อไปนี้แสดงความสัมพันธ์
ระหว่างกลุ่มสิ่งมีชีวิตที่อาศัยรวมกัน
ความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ คือ+ หมายถึง การได้ประโยชน์จากอีกฝ่ายหนึ่ง - หมายถึง การเสียประโยชน์ให้อีกฝ่ายหนึ่ง 0 หมายถึง การไม่ได้ประโยชน์ แต่ก็ไม่เสียประโยชน์ 1. การได้รับประโยชน์ร่วมกัน (mutualism) เป็นการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต 2 ชนิด ที่ได้ประโยชน์ด้วยกันทั้งสองชนิด ใช้สัญลักษณ์ +, + เช่น • แมลงกับดอกไม้ แมลงดูดน้ำหวานจากดอกไม้เป็นอาหาร และดอกไม้ก็มีแมลงช่วยผสมเกสร • นกเอี้ยงกับควาย นกเอี้ยงได้กินแมลงต่าง ๆ จากหลังควาย และควายก็ได้นกเอี้ยงช่วยกำจัดแมลงที่มาก่อความรำคาญ • มดดำกับเพลี้ย เพลี้ยได้รับประโยชน์ในการที่มดดำพาไปดูดน้ำเลี้ยงที่ต้นไม้ และมดดำก็จะได้รับน้ำหวาน • ปูเสฉวนกับดอกไม้ทะเล (sea anemone) ปูเสฉวนอาศัยดอกไม้ทะเลพรางตัวจากศัตรู และยังอาศัยเข็มพิษจากดอกไม้ทะเลป้องกันศัตรู ส่วนดอกไม้ทะเลก็ได้รับอาหารจากปูเสฉวนที่กำลังกินอาหารด้วย • ไลเคน (lichen) คือ การดำรงชีวิตร่วมกันของรากับสาหร่าย ซึ่งเป็นการอยู่แบบที่สิ่งมีชีวิตทั้ง 2 ชนิดต่างก็ได้รับประโยชน์ สาหร่ายมีสีเขียวสร้างอาหารเองได้โดยกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงแต่ต้องอาศัยความชื้นจากรา ส่วนราได้รับธาตูอาหารจากสาหร่าย ได้แก่ ไนโตรเจนจากการตรึงไนโตรเจน นอกจากนั้นราบางชนิดอาจสร้างสารพิษ ซึ่งป้องกันไม่ให้สัตว์อื่นกินไลเคนเป็นอาหาร และรายังสร้างกรดช่วยในการละลายหินและเปลือกไม้ ทำให้ไลเคนดูดซับธาตุอาหารได้ดี ![]()
รูปที่ 1.4 ความสัมพันธ์แบบ mutualism ระหว่างราและสาหร่าย
• แบคทีเรียไรโซเบียม (Rhizobium) ในปมรากพืชวงศ์ถั่ว
ตรึงไนโตรเจนจากอากาศให้แก่รากถั่ว ในขณะเดียวกันแบคทีเรียก็ได้รับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
และแร่ธาตุจากต้นถั่ว
![]()
รูปที่ 1.5 ปมรากถั่วซึ่งภายในมีแบคทีเรียไรโซเบียม
• โปรโตซัวในลำไส้ปลวก ปลวกไม่มีน้ำย่อยสำหรับย่อยเซลลูโลสในเนื้อไม้
โปรโตซัวช่วยในการย่อย จนทำให้ปลวกสามารถกินไม้ได้
และโปรโตรซัวก็ได้รับสารอาหารจากการย่อยสลายเซลลูโลสด้วย
![]()
รูปที่ 1.6 โปรโตซัวในลำไส้ปลวกช่วยย่อยเซลลูโลส
• แบคทีเรียที่อาศัยอยู่ในสำไส้ใหญ่ของคน แบคทีเรียได้รับอาหาร
และที่อยู่อาศัยจากลำไส้ของคน ส่วนคนจะได้รับวิตามินบี 12 จากแบคทีเรีย
2. ภาวะอิงอาศัยหรือภาวะเกื้อกูล (commensalism) เป็นการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต
โดยที่ฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ประโยชน์แต่ก็ไม่เสียประโยชน์ (+,0) เช่น
• ปลาฉลามกับเหาฉลาม เหาฉลามอาศัยอยู่ใกล้ตัวปลาฉลามและกินเศษอาหารจากปลาฉลาม
ซึ่งปลาฉลามจะไม่ได้ประโยชน์ แต่ก็ไม่เสียประโยชน์
• พลูด่างกับต้นไม้ใหญ่ พลูด่างอาศัยร่มเงาและความชื้นจากต้นไม้โดยต้นไม้ไม่ได้ประโยชน์
แต่ขณะเดียวกันก็ไม่เสียประโยชน์อะไร
• กล้วยไม้กับต้นไม้ใหญ่ กล้วยไม้ยึดเกาะที่ลำต้นหรือกิ่งของต้นไม้ซึ่งได้รับความชื้น
และแร่ธาตุจากต้นไม้ โดยที่ต้นไม้ไม่ได้รับประโยชน์ แต่ก็ไม่เสียประโยชน์อะไร
• เพรียงที่อาศัยเกาะบนผิวหนังของวาฬเพื่อหาอาหาร วาฬไม่ได้ประโยชน์
แต่ก็ไม่เสียประโยชน์
![]() ![]()
รูปที่ 1.8 กล้วยไม้กับต้นไม้ใหญ่
3. ฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์และอีกฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์ ใช้สัญลักษณ์ +, - ซึ่งแบ่งเป็น 2 แบบ คือ
ก. การล่าเหยื่อ (predation) เป็นความสัมพันธ์โดยมีฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ล่า (predator)
และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเหยื่อ (prey) หรือเป็นอาหารของอีกฝ่าย เช่น งูกับกบ
ข. ภาวะปรสิต (parasitism) เป็นความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตที่มีฝ่ายหนึ่ง
เป็นผู้เบียดเบียน เรียกว่า ปรสิต (parasite) และอีกฝ่ายหนึ่งเป็นเจ้าของบ้าน (host)
นอกจากนี้ยังมีความสัมพันธ์แบบภาวะมีการย่อยสลาย (saprophytism)• ต้นกาฝากเช่น ฝอยทองที่ขึ้นอยู่บนต้นไม้ใหญ่ จะดูดน้ำและอาหารจากต้นไม้ใหญ่ • หมัด เห็บ ไร พยาธิต่าง ๆ ที่อาศัยอยู่กับร่างกายคนและสัตว์ • เชื้อโรคต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดโรคกับคนและสัตว์ ใช้สัญลักษณ์ +, 0 เป็นการดำรงชีพของกลุ่มผู้ย่อยสลายสารอินทรีย์ เช่น เห็ด รา แบคทีเรีย และจุลินทรีย์ ![]()
รูปที่ 1.9 รูปเห็ด
![]()
รูปที่ 1.10 รูปแบคทีเรีย
การถ่ายทอดพลังงานในห่วงโซ่อาหาร
การถ่ายทอดพลังงาน ในห่วงโซ่อาหารอาจแสดงในในลักษณะของสามเหลี่ยมปิรามิด
ของสิ่งมีชีวิต (ecological pyramid) แบ่งได้ 3 ประเภทตามหน่วยที่ใช้วัดปริมาณของลำดับขั้นในการกิน
1. ปิรามิดจำนวนของสิ่งมีชีวิต (pyramid of number) แสดงจำนวนสิ่งมีชีวิตเป็นหน่วยตัวต่อพื้นที่ โดยทั่วไปพีระมิดจะมีฐานกว้างซึ่งหมายถึง
มีจำนวนผู้ผลิตมากที่สุด และจำนวนผู้บริโภคลำดับต่างๆ ลดลงมา
รูปที่ 1.11 ปิรามิดจำนวนของสิ่งมีชีวิต
แต่การวัดปริมาณพลังงานโดยวิธีนี้ อาจมีความคลาดเคลื่อนได้
เนื่องจากสิ่งมีชีวิตไม่ว่าจะเป็นเซลล์เดียวหรือหลายเซลล์ ขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ เช่น
ไส้เดือน จะนับเป็นหนึ่งเหมือนกันหมด
แต่ความเป็นจริงนั้นในแง่ปริมาณพลังงานที่ได้รับหรืออาหารที่ผู้บริโภคได้รับจะมากกว่าหลายเท่า
ดังนั้นจึงมีการพัฒนารูปแบบในรูปของปิรามิดมวลของสิ่งมีชีวิต
2.ปิรามิดมวลของสิ่งมีชีวิต (pyramid of mass) โดยปิรามิดนี้แสดงปริมาณของสิ่งมีชีวิตในแต่ละลำดับขั้นของการกิน
โดยใช้มวลรวมของน้ำหนักแห้ง (dry weight) ของสิ่งมีชีวิตต่อพื้นที่แทนการนับจำนวน
ปิรามิดแบบนี้มีความแม่นยำมากกว่าแบบที่ 1 แต่
ในความเป็นจริงจำนวนหรือมวลของสิ่งมีชีวิตมีการเปลี่ยนแปลงตามช่วงเวลา
เช่น ตามฤดูกาลหรือ ตามอัตราการเจริญเติบโต ปัจจัยเหล่านี้ จึงเป็นตัวแปรที่สำคัญ
รูปที่ 1.12 ปิรามิดมวลของสิ่งมีชีวิต
อย่างไรก็ดีถึงแม้มวลที่มากขึ้นเช่นต้นไม้ใหญ่ จะผลิตเป็นสารอาหารของผู้บริโภคได้มาก
แต่ก็ยังน้อยกว่าที่ผู้บริโภคได้จากสิ่งมีชีวิตเล็กๆ เช่น สาหร่ายหรือแพลงก์ตอน ทั้งๆที่มวล
หรือปริมาณของสาหร่ายหรือแพลงก์ตอนน้อยกว่ามาก ดังนั้นจึงมีการพัฒนาแนวความคิด
ในการแก้ปัญหานี้ โดยในการเสนอรูปของปิรามิดพลังงาน ( pyramid of energy)
รูปที่ 1.13 การกินเป็นทอดๆ
3. ปิรามิดพลังงาน ( pyramid of energy)
เป็นปิรามิดแสดงปริมาณพลังงานของแต่ละลำดับชั้นของการกินซึ่ง
จะมีค่าลดลงตามลำดับขั้นของการโภค จากลำดับที่ 1 ไป 2 ไป 3 และ 4 ดังแสดงในรูป
รูปที่ 1.14 ปิรามิดพลังงาน
และมีความสมดุล ซึ่งกันและกันวนเวียนกันเป็นวัฏจักรที่เรียกว่า วัฏจักรของสสาร (matter cycling) ซึ่งเปรียบเสมือนกลไกสำคัญ ที่เชื่อมโยงระหว่างสสารและพลังงานจากธรรมชาติสู่สิ่งมีชีวิต แล้วถ่ายทอดพลังงานในรูปแบบของการกินต่อกันเป็นทอดๆ ผลสุดท้ายวัฎจักรจะสลายในขั้นตอนท้ายสุดโดยผู้ย่อยสลายกลับคืนสู่ธรรมชาติ วัฏจักรของสสารที่มีความสำคัญต่อสมดุลของระบบนิเวศ ได้แก่ วัฎจักรของน้ำ วัฎจักรของไนโตรเจน วัฎจักรของคาร์บอนและ วัฎจักรของฟอสฟอรัส |
บล็อกนี้ จะมีเนื้ิหาเกี่ยวกับการอยู่รวมกันของสิ่งมีชีวิตกับธรรมชาติหรือระบบนิเวศและการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันของสิ่งมีชีวิตกับระบบนิเวศและวัฏจักรการล่าเหยื่อของสัยว์แบบเป็นห่วงโซ่อาหารรวมทั้งจะมีการถ่ายทอดพลังงานไปเป็นทอดๆซึ่งจะถ่ายทอดจากสัตว์ไปยังสัตว์ตัวอื่นๆ โดยเป็นไปอย่างเป็นวัฏจักร
วัฏจักร การล่าเหยื่อแบบห่วงโว่อาหาร
การพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
|
|
ชีวิตกับสิ่งแวดล้อม
ความสัมพันธ์ของกลุ่มสิ่งมีชีวิต
กลุ่มสิ่งมีชีวิตในแต่ละแหล่งที่อยู่ สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรามีทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต สิ่งมีชวิตตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปเรียกว่า กลุ่มสิ่งมีชีวิต
ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตแหล่งที่อยู่แหล่งใดแหล่งหนึ่งเรียกว่า ระบบนิเวศ
ระบบนิเวศ แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้
1. ระบบนิเวศบนบก เช่น
• ระบบนิเวศป่าไม้
• ระบบนิเวศทะเลทราย
• ระบบนิเวศทุ่งหญ้า
• ระบบนิเวศชายป่า
2. ระบบนิเวศในน้ำ เช่น
• ระบบนิเวศน้ำจืด
- หนองน้ำ
- แม่น้ำ
• ระบบนิเวศน้ำเค็ม
- ทะเล
- มหาสมุทร
ลักษณะความสัมพันธ์ของกลุ่มสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ
1. ความสัมพันธ์แบบได้ประโยชน์ร่วมกัน ความสัมพันธ์แบบได้ประโยชน์ร่วมกัน หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าแบบซิมไบโอซิส เป็นการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต ซึ่งต่างก็พึ่งพาอาศัยกันและกัน โดยไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบหรือเสียเปรียบกัน เช่น
- นกเอี้ยงบนหลังควาย โดยนกเอี้ยงช่วยจิกแมลงที่รบกวนบนหลังควาย ในขณะเดียวกันควายก็เป็นแหล่งอาหารของนกเอี้ยง
- ดอกไม้กับผึ้ง ผึ้งได้น้ำหวานจากดอกไม้ ดอกไม้ได้รับการขยายพันธุ์โดยผึ้งเป็นผู้ช่วย
- มดดำกับเพลี้ยอ่อน มดดำดูดน้ำเลี้ยงจากเพลี้ยอ่อน และคาบเพลี้ยอ่อนไปวางตามที่ต่าง ๆ เพลี้ยอ่อนได้แหล่งอาหารใหม่
2. ความสัมพันธ์แบบต้องพึ่งพาอาศัยกัน
ความสัมพันธ์แบบต้องพึ่งพากัน เป็นความสัมพันธ์ที่สิ่งมีชีวิตทั้ง 2 ชนิดได้ประโยชน์โดยที่ต้องอาศัยอยู่ร่วมกันตลอดชีวิต เช่น
- ต่อไทรกับลูกไทร ต่อไทรเป็นแมลงชนิดหนึ่งอาศัยอยู่ในลูกไทรตลอดชีวิต ส่วนต้นไทรสืบพันธ์ต่อไปได้เพราะต่อไทรทำหน้าที่ผสมเกสร
- โปรโตซัวในลำไส้ของปลวก ปลวกอาศัยโปรโตซัวลำไส้ของปลวก ปลวกจะอาศัยโปรโตซัวช่วยย่อยเนื้อไม้หรือกระดาษที่ปลวกกินเข้าไป ส่วนโปรโตซัวก็ได้อาหารจากปลวก
- ไลเคน (รากับสาหร่าย) ไลเคนที่ขึ้นอยู่กับต้นไม้ เป็นชีวิตระหว่างเชื้อรากับสาหร่ายอยู่ร่วมกัน โดยที่สาหร่ายสร้างอาหารได้เองและอาศัยความชื้นจากเชื้อรา ราจะดูดอาหารที่สาหร่ายอยู่ร่วมกัน โดยที่สาหร่ายสร้างอาหารได้เองและอาศัยความชื้นจากเชื้อรา ราจะดูดอาหารที่สาหร่ายสร้างขึ้น
3. ความสัมพันธ์แบบอิงอาศัย
ความสัมพันธ์แบบอิงอาศัยหรือแบบได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว หมายถึงสิ่งมีชีวิตสองชนิดมาอาศัยอยู่ด้วยกันโดยฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่เสียประโยชน์อาจจะเรียกการอยู่ร่วมกันแบบนี้ได้ว่า เป็นแบบเกื้อกูล
- กล้วยไม้ พลูด่าง เฟิร์น กับต้นไม้ใหญ่ ที่อาศัยอยู่เฉพาะบริเวณของเปลือกต้นไม้ ไม่ได้แย่งอาหารภายในลำต้น
- เหาฉลามกับปลาฉลาม ก็ได้อาศัยอาหารที่ลอยมากับน้ำ ทั้งนี้มิได้แย่งอาหารของปลาฉลาม ปลาฉลามก็ไม่เสียประโยชน์
- หมาไฮยีนากับสิงโต หมาไฮยีน่าจะคอยกินซากเหยื่อจากที่สิงโตกินอิ่มและทิ้งไว้ ส่วนสิงโตไม่ได้ประโยชน์อะไรจากหมาไฮยีนา
4. ความสัมพันธ์แบบล่าเหยือ
ความสัมพันธ์แบบล่าเหยือ เป็นความสัมพันธ์ของสิ่งที่มีชีวิตทั้ง 2 ชนิด โดยฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ล่า และอีกฝ่ายเป็นผู้ถูกล่าหรือเป็นเหยือ ผู้ล่า เป็นผู้ได้ประโยชน์ ส่วนผู้ถูกล่าจะเป็นผู้เสียประโยชน์ เช่น
- หนอนกับใบไม้ หนอนเป็นผู้ล่า ใบไม้เป็นเหยื่อ
- นกกับหนอน นกเป็นผู้ล่า หนอนเป็นเหยือ
- แมวกับหนู แมวเป็นผู้ล่า หนูเป็นเหยื่อ
5. ความสัมพันธ์แบบพาราสิต
ความสัมพันธ์แบบพาราสิตเป็นการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตโดยฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์ เช่น
- พยาธิกับคน พยาธิเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในตัวสัตว์อื่น เช่น คน สุนัข แมว สุกร โดยพยาธิจะดูดกินเลือดของสัตว์ที่มันอาศัยอยู่ จนทำให้สัตว์นั้นมีสุขภาพทรุดโทรมทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้
- กาฝากกับต้นไม้ใหญ่ กาฝากบนต้นไม้ใหญ่คอยแย่งอาหารจากต้นไม้ ซึ่งขณะเดียวกันต้นไม้ก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากกาฝากเลย
โซ่อาหารและสายใยอาหาร
โซ่อาหารเป็นการกินต่อกันเป็นทอด ๆ ของสิ่งมีชีวิต โดยมี
กลุ่มสิ่งมีชีวิตในแต่ละแหล่งที่อยู่ สิ่งต่าง ๆ รอบตัวเรามีทั้งสิ่งมีชีวิตและสิ่งไม่มีชีวิต สิ่งมีชวิตตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปเรียกว่า กลุ่มสิ่งมีชีวิต
ความสัมพันธ์ของสิ่งมีชีวิตแหล่งที่อยู่แหล่งใดแหล่งหนึ่งเรียกว่า ระบบนิเวศ
ระบบนิเวศ แบ่งเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ดังนี้
1. ระบบนิเวศบนบก เช่น
• ระบบนิเวศป่าไม้
• ระบบนิเวศทะเลทราย
• ระบบนิเวศทุ่งหญ้า
• ระบบนิเวศชายป่า
2. ระบบนิเวศในน้ำ เช่น
• ระบบนิเวศน้ำจืด
- หนองน้ำ
- แม่น้ำ
• ระบบนิเวศน้ำเค็ม
- ทะเล
- มหาสมุทร
ลักษณะความสัมพันธ์ของกลุ่มสิ่งมีชีวิตในระบบนิเวศ
1. ความสัมพันธ์แบบได้ประโยชน์ร่วมกัน ความสัมพันธ์แบบได้ประโยชน์ร่วมกัน หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าแบบซิมไบโอซิส เป็นการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิต ซึ่งต่างก็พึ่งพาอาศัยกันและกัน โดยไม่มีฝ่ายใดได้เปรียบหรือเสียเปรียบกัน เช่น
- นกเอี้ยงบนหลังควาย โดยนกเอี้ยงช่วยจิกแมลงที่รบกวนบนหลังควาย ในขณะเดียวกันควายก็เป็นแหล่งอาหารของนกเอี้ยง
- ดอกไม้กับผึ้ง ผึ้งได้น้ำหวานจากดอกไม้ ดอกไม้ได้รับการขยายพันธุ์โดยผึ้งเป็นผู้ช่วย
- มดดำกับเพลี้ยอ่อน มดดำดูดน้ำเลี้ยงจากเพลี้ยอ่อน และคาบเพลี้ยอ่อนไปวางตามที่ต่าง ๆ เพลี้ยอ่อนได้แหล่งอาหารใหม่
2. ความสัมพันธ์แบบต้องพึ่งพาอาศัยกัน
ความสัมพันธ์แบบต้องพึ่งพากัน เป็นความสัมพันธ์ที่สิ่งมีชีวิตทั้ง 2 ชนิดได้ประโยชน์โดยที่ต้องอาศัยอยู่ร่วมกันตลอดชีวิต เช่น
- ต่อไทรกับลูกไทร ต่อไทรเป็นแมลงชนิดหนึ่งอาศัยอยู่ในลูกไทรตลอดชีวิต ส่วนต้นไทรสืบพันธ์ต่อไปได้เพราะต่อไทรทำหน้าที่ผสมเกสร
- โปรโตซัวในลำไส้ของปลวก ปลวกอาศัยโปรโตซัวลำไส้ของปลวก ปลวกจะอาศัยโปรโตซัวช่วยย่อยเนื้อไม้หรือกระดาษที่ปลวกกินเข้าไป ส่วนโปรโตซัวก็ได้อาหารจากปลวก
- ไลเคน (รากับสาหร่าย) ไลเคนที่ขึ้นอยู่กับต้นไม้ เป็นชีวิตระหว่างเชื้อรากับสาหร่ายอยู่ร่วมกัน โดยที่สาหร่ายสร้างอาหารได้เองและอาศัยความชื้นจากเชื้อรา ราจะดูดอาหารที่สาหร่ายอยู่ร่วมกัน โดยที่สาหร่ายสร้างอาหารได้เองและอาศัยความชื้นจากเชื้อรา ราจะดูดอาหารที่สาหร่ายสร้างขึ้น
3. ความสัมพันธ์แบบอิงอาศัย
ความสัมพันธ์แบบอิงอาศัยหรือแบบได้ประโยชน์ฝ่ายเดียว หมายถึงสิ่งมีชีวิตสองชนิดมาอาศัยอยู่ด้วยกันโดยฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ แต่อีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่เสียประโยชน์อาจจะเรียกการอยู่ร่วมกันแบบนี้ได้ว่า เป็นแบบเกื้อกูล
- กล้วยไม้ พลูด่าง เฟิร์น กับต้นไม้ใหญ่ ที่อาศัยอยู่เฉพาะบริเวณของเปลือกต้นไม้ ไม่ได้แย่งอาหารภายในลำต้น
- เหาฉลามกับปลาฉลาม ก็ได้อาศัยอาหารที่ลอยมากับน้ำ ทั้งนี้มิได้แย่งอาหารของปลาฉลาม ปลาฉลามก็ไม่เสียประโยชน์
- หมาไฮยีนากับสิงโต หมาไฮยีน่าจะคอยกินซากเหยื่อจากที่สิงโตกินอิ่มและทิ้งไว้ ส่วนสิงโตไม่ได้ประโยชน์อะไรจากหมาไฮยีนา
4. ความสัมพันธ์แบบล่าเหยือ
ความสัมพันธ์แบบล่าเหยือ เป็นความสัมพันธ์ของสิ่งที่มีชีวิตทั้ง 2 ชนิด โดยฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ล่า และอีกฝ่ายเป็นผู้ถูกล่าหรือเป็นเหยือ ผู้ล่า เป็นผู้ได้ประโยชน์ ส่วนผู้ถูกล่าจะเป็นผู้เสียประโยชน์ เช่น
- หนอนกับใบไม้ หนอนเป็นผู้ล่า ใบไม้เป็นเหยื่อ
- นกกับหนอน นกเป็นผู้ล่า หนอนเป็นเหยือ
- แมวกับหนู แมวเป็นผู้ล่า หนูเป็นเหยื่อ
5. ความสัมพันธ์แบบพาราสิต
ความสัมพันธ์แบบพาราสิตเป็นการอยู่ร่วมกันของสิ่งมีชีวิตโดยฝ่ายหนึ่งได้ประโยชน์ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งเสียประโยชน์ เช่น
- พยาธิกับคน พยาธิเป็นสัตว์ที่อาศัยอยู่ในตัวสัตว์อื่น เช่น คน สุนัข แมว สุกร โดยพยาธิจะดูดกินเลือดของสัตว์ที่มันอาศัยอยู่ จนทำให้สัตว์นั้นมีสุขภาพทรุดโทรมทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้
- กาฝากกับต้นไม้ใหญ่ กาฝากบนต้นไม้ใหญ่คอยแย่งอาหารจากต้นไม้ ซึ่งขณะเดียวกันต้นไม้ก็ไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากกาฝากเลย
โซ่อาหารและสายใยอาหาร
โซ่อาหารเป็นการกินต่อกันเป็นทอด ๆ ของสิ่งมีชีวิต โดยมี

โซ่อาหาร


โซ่อาหารและสายใยอาหาร



สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)